เกร็ดความรู้เรื่อง T-stop และ F-stop

[reawat]

T-stop คืออะไร ต่างจาก F-stop อย่างไร ทำไมต้องสนใจเรื่อง T-stop
ผมคิดว่า นักถ่ายภาพ ทุกท่าน ล้วนรู้จัก f-stop กันอยู่แต่เดิมแล้ว ว่าเป็นขนาดของช่องรับแสงเมื่อเทียบกับทางยาวโฟกัส.
f-stop ค่าน้อย ๆ หมายถึง ช่องรับแสงที่เปิดกว้าง และแสงผ่านได้มาก ตรงข้ามกับตัวเลข f-stop มาก ๆ หมายถึงรูรับแสงแคบ และ แสงผ่านได้น้อย.

การใช้ รูรับแสงกว้าง ๆ นั้นได้แสงมาก ก็จริง แต่ก็จะได้ระยะชัดที่บางมากๆ นั่นคือภาพจะชัดเฉพาะจุดที่เราโฟกัส(เช่นที่นิยมเรียกว่า หน้าชัดหลังเบลอ).
ส่วนรูรับแสงแคบๆ นั้น ทำให้ภาพมืดลงก็จริง แต่เราจะได้ระยะชัดลึกมากขึ้น ชัดทั้งฉากหน้าฉากหลัง (นิยมใช้ถ่ายภาพ วิว ทิวทัศน์)
ส่วนความสว่างที่ลดลงเราก็จะต้องไปเพิ่มด้วย ISO หรือลด ความเร็วชัตเตอร์ก็แล้วแต่ถนัด.
** สนใจเรื่องรูรับแสง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaidphoto.com/forums/sho...d.php?t=361606 **

ภาพแรก จากเลนส์ Leica M Noctilux 50 mm f/0.95 เมื่อเปิดกว้างสุด สามารถ เบลอฉากหน้าฉากหลังทิ้งไปได้อย่างน่าชม.

[reawat]

เลนส์ถ่ายภาพทุกตัว..ล้วนแล้วแต่ บอกค่า f/stop ที่ตัวเลนส์ ..เมื่อเรานำมาใช้งานในสตูดิโอ ผมเองใช้เครื่องวัดแสงคุณภาพสูง ได้ค่าแสงเป๊ะ ๆ ซึ่งดูเหมือนจะแม่นมาก ๆ แต่ถ้าใช้ไปตามที่วัดได้ กลับได้ภาพค่อนข้างมืด..และ เลนส์แต่ละตัว ให้ภาพออกมามืด ไม่เท่ากันอีกด้วย (ในตอนนั้น ยังแอบ ด่า คนผลิตเครื่องวัดแสงว่า ทำไม ไม่ทำมาให้มันวัดได้ ตรง ๆ สักหน่อย)

ตอนนั้น แก้ปัญหาด้วยการชดเชยแสงในทางสว่างไว้นิด ๆ ก็จบเรื่อง ไม่ได้ไปตามสงสัยเรื่องนี้มากนัก..(และเลนส์ตัวไหนที่ ใช้แล้วภาพ มืดดด มาก ๆ เราก็เตะมันออกจาก สตูดิโอ ข้อหา ห่วย มืดด กินแสง เน่า อ่อน.. กาก.ฯลฯ )

จนกระทั่ง หลายปีต่อมา เมื่อต้องใช้อุปกรณ์หลากหลาย มากขึ้น แล้วก็ยังพบว่า ปัญหามันยังตามมาหลอกมาหลอนเราอยู่ ระบบ วัดแสงในกล้องต่างๆ มันให้ค่าที่ไม่เท่ากันจน น่าแปลกใจไปถ่ายภาพด้วยกันหลายๆ ท่าน วัดแสงออกมาไม่เท่ากันเลยสักท่าน. ยืนข้าง ๆ กัน ตั้งค่าทุกอย่างเหมือนกันทำไมถ่าย ออกมาได้ผลต่างกันมาก จนถึงขั้นแทบวางมวยกันก็มี.

ผมจึงจำใจต้องหาวิธีแก้ปัญหา จนในที่สุดก็ตอบคำถามที่สงสัยมาหลายปีได้ว่า เกิดอะไรขึ้น.

*** เลนส์ถ่ายภาพ โดยมาก ก็จะบอกเพียงค่า f-stop เพราะค่า f-stop นั้นไว้คำนวณระยะชัดลึกครับ ***
** เลนส์ยุคหลัง ๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสเกลคำนวณระยะชัดชัดลึก ใส่มาให้เหมือนไม่เต็มใจใส่ หลายท่านจึงยังชอบเลนส์เก่าอยู่ **

[reawat]

คำตอบที่ได้คือ เลนส์ทุกตัว จะมีค่า T-Stop อีกค่า ซึ่งเป็นค่าความสามารถรับแสงจริง ๆ ของมัน นั่นเองครับ. ค่า F-Stop ที่ผู้ผลิต บอกเรา เป็นเพียงตัวบอกถึงขนาดรูรับแสงเท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าเลนส์ให้แสงผ่านจริง ๆ เท่าไหร่

ดูๆ ไปแล้วเหมือนว่าค่า T-Stop จะเป็นตัวเลข ที่ผู้ผลิตเลนส์ไม่ค่อย เต็มใจอยากจะบอกเราให้ชัดเจน. ทั้ง ๆ ที่มันเป็นค่าตัวเลขสำคัญที่บอกเราว่า เลนส์ตัวนั้น ๆ ต้องใช้แสงปริมาณเท่าใดในการถ่ายภาพ ปล่อยนักถ่ายภาพให้เจอปัญหาและหาทางแก้กันเอาเอง.

** และตัวเลข T-stop นี่เองที่มันไม่เท่ากันในเลนส์ต่างรุ่น ต่างยี่ห้อ.ทำให้ผลการวัดแสงสำหรับเลนส์แต่ละตัวผิดเพี้ยนไปคนละทิศคนละทาง. และยิ่งกลุ่มเลนส์ราคาประหยัดนั้น..ค่า T-Stop จะแย่มาก ๆ จนคาดว่าถ้า ระบุมาให้ทราบ อาจจะขายไม่ออกเอาได้ **

หรือ ในบางครั้ง เราได้ไปพบ CINE Lens (ไว้ใช้ในงานภาพยนต์) เลนส์กลุ่มนี้..จะไม่ระบุ F-Stop แต่จะบอกเราเป็น T-Stop เลย(แล้ว F จะเท่าไหร่เนี่ย).
ผมคาดเดาว่า การถ่ายภาพเคลื่อนไหว(เช่น การใช้ฟิล์มภาพยนต์) จำต้องให้แสงที่ถูกต้องแม่นยำอย่างมาก ๆ .. เลนส์จึงบอก ค่า T-Stop มาเลย (ใช้เครื่องวัดแสงวัดแล้วใช้งานได้เลย โดยไม่ต้องไป ชดเชยแสงอีก)..(แต่คราวนี้ ระยะชัดลึก ก็กลายเป็นสิ่งคุมยากแทน เพราะไม่ทราบ F-Stop จริงๆ ของเลนส์).

เลนส์ที่เป็นเลนส์กลุ่มถ่ายภาพเคลื่อนไหวนี้..จะราคาสูงมาก ๆ และไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในโลกของช่างภาพที่ถ่ายภาพนิ่ง..(ราคาเลนส์แต่ละตัวซื้อรถยนต์ได้เป็นคันๆ)

ครับ..ปัญหาของผม มาจากค่า T-Stop ของเลนส์นี่เอง ที่ถูกผู้ผลิตเลนส์ กลบเกลื่อนไว้ไม่ให้ผู้ใช้งานเลนส์ได้ทราบง่าย ๆ เป็นต้นเหตุของความ ยุ่งยากในการสอนถ่ายภาพของผมเป็นประจำ เพราะ ไปทำให้ผลการวัดแสง รวนไปหมดเวลาผู้เข้าเรียนหยิบเลนส์ของตนมา แล้วตั้งค่า ตามเครื่องวัดแสงที่ผมวัดได้ ด้วยค่า T-Stop ที่มันไม่เท่ากัน ทำให้ภาพของแต่ละคน มืดสว่าง ไม่เท่ากันเลย ซึ่งยากต่อการตามไปให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นอันมาก

** ในภาพ คือหนึ่งในเลนส์ที่ผมนำมาทดสอบ SLR Magic HyperPrime CINE 50mm T0.95 **

[reawat]

สรุปได้ว่า T-stop คือค่าแสงจริงๆ ที่ผ่านเลนส์ไปยังเซ็นเซอร์รับแสงได้นั่นเองครับ
ซึ่งอาจจะเท่ากับค่า f-stop หรือสูงกว่าค่า f-stop อยู่มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ ประสิทธิภาพในการผ่านแสงของเลนส์ตัวนั้น ๆ.

เลนส์ที่มีค่า T-Stop สูงๆนั้นไม่ได้หมายความว่าเลนส์นั้นด้อยคุณภาพ กว่าตัวที่ T-Stop ต่ำๆ แต่อย่างใด มันแค่หมายถึง เลนส์ตัวนั้น ๆ กินแสงมากกว่าเลนส์ตัวที่มีค่า T-Stop ต่ำกว่า.. เท่านั้นครับ..

เพราะ การออกแบบเลนส์ โดยเฉพาะเลนส์ประสิทธิภาพสูง จำต้องใส่ชิ้นเลนส์จำนวนมากในการเพิ่มคุณภาพของเลนส์นั้นๆ ทำให้เสียแสงลงไป และค่า T-Stop จะสูง (กินแสง) ดังตัวอย่างเช่นเลนส์ Sony 135 f/2.8 STF ตัวนี้ มี T-stop ที่ 4.5 ครับ. ซึ่งถือว่า กินแสงมาก ๆ แต่ภาพที่ได้ ผมกล้ายกให้เป็น 135 mm ที่ดีที่สุดที่ผมเคยใช้มาเลยครับ.

รหัส STF นั้น ย่อมาจาก Smooth Transition Focus โดยใช้ชิ้นเลนส์พิเศษ ทำให้มีการไล่ความชัดที่นุ่มนวลเป็นพิเศษ (จึงกินแสงมากกว่าเลนส์ทั่วไป) แต่ให้ภาพที่คุณภาพดีเลิศ.

และด้วยความที่เลนส์ตัวนี้ กินแสงมาก (ภาพตัวอย่างที่เห็นนั้น Shutter ต่างกันอยู่ ราว ๆ หนึ่งสตอป) จนทำให้ ผู้ผลิตเลนส์ จำต้องใช้ค่า T แทนค่า F มิเช่นนั้นจะมีปัญหาในการใช้งานในสตูดิโอ หรือผู้ที่ใช้งานระดับอาชีพ แต่ก็จะเกิดปัญหาอื่นตามมา(อีกแล้ว) ก็คือ ถ้าเราใช้เลนส์ตัวนี้ แล้วตั้งค่า F ที่ตัวกล้อง. จากนั้นไปใช้สูตรคำนวณ ระยะชัดลึก โดยใช้ค่า F ที่กล้อง จะได้ผลผิดพลาดทันที (แต่คน ไม่มากนักที่จะ ทำงานละเอียด ระดับ คำนวณระยะชัดลึกด้วยสูตร และ กลุ่มคนที่ ใช้เลนส์ได้ละเอียดขนาดนั้น จะสามารถ แก้ไขปัญหานี้ได้สบายๆ โดยการใช้ค่า F จริง ๆ แทนในสูตร แต่ใช้ค่า T คำนวณแสงครับ)

ผมจึงคิดว่ามันเป็นเลนส์ ตัวเดียวในโลก ที่ทำให้มองเห็นเรื่อง T-Stop , F-Stop อย่างชัดเจน.

[reawat]

แล้วทำไมต้องทราบค่า T-stop เพราะการถ่ายภาพในระดับละเอียดมาก ๆ เช่นงานสตูดิโอ หรืองานถ่ายภาพยนต์ จำต้องให้แสงอย่างแม่นยำมาก ๆ (จะเห็นว่า เลนส์ถ่ายหนัง จะบอกค่า รูรับแสงเป็น T-Stop ทั้งสิ้น) ดังนั้น ถ้าเราจะใช้งานเลนส์ในระดับที่ต้องการความแม่นยำสูงๆ เราจึงจำเป็นต้องให้แสงในภาพ โดยใช้ค่า T-Stop ของเลนส์ที่เราใช้งานครับ.

คราวนี้..เราจะทราบได้อย่างไร ว่า T-Stop ของเลนส์เราจะเท่าใด.
ถ้าจะวัดเอง ก็ไม่ยากครับ. ใช้กระดาษสีเทา มาตรฐาน หนึ่งแผ่น กับเครื่องวัดแสง วัดค่าแสง ออกมาเทียบกัน เราก็จะเห็นเองว่า ค่าที่วัดได้จากกล้อง จะแตกต่าง จากค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงไปกี่สตอป แล้วจำไว้..(แน่นอนว่า เลนส์ดีๆ ที่กินแสงน้อย ก็ให้ค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก ระหว่าง วัดผ่านกล้องกับค่าแสงจากเครื่องวัดแสงครับ ส่วน เลนส์ ซูม f-stop ไม่คงที่ ส่วนมาก จะประมาณ +1 stop หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เท่าที่ผมเคยตรวจสอบนะครับ)

ส่วนถ้าจะเอาง่าย ๆ และแม่นยำ ให้เปิดเว็บ www.dxomark.com/lens ครับ. เค้ามีวัดและ รายงานไว้เกือบทุกเลนส์ที่นิยมใช้ๆ กันอยู่
** ดูจากตาราง จะพบว่า เลนส์เดี่ยว ๆ หลายตัว ให้ค่า T-stop เท่ากับค่า F-Stop ซึ่งเลนส์กลุ่มนี้แหละครับ..มืออาชีพ มักจะชอบเลือกใช้ในสตูดิโอ ด้วยสามารถวัดแสงได้ง่าย ไม่ต้องชดเชยให้งง **

[reawat]

วันนี้ผมจึงได้คำตอบ ในสิ่งที่เคยเป็นปัญหาเมื่อหลายปีก่อน
-เรื่องแฟลชติดกล้องสมัยก่อนๆ ผู้ผลิต บอกค่าความสว่างเป็น Guide Number ซึ่งผมเอง เมื่อนำมาใช้งาน ก็จะได้ภาพมืดเกินไปทุกที ทำให้นางแบบชาวไทยเปลี่ยนสัญชาติเป็นชาวอาฟริกันบ่อยๆ โดนด่ามามิใช่น้อย ๆ. ในตอนนั้น มันเกิดจากผมเองไม่เข้าใจเรื่อง T-stop แล้วจึงไม่ได้ชดเชยการเสียแสงในเลนส์นั่นแหละครับ

-ในยุคสมัยของกล้องฟิล์มนั้น ช่างภาพไม่นิยมเลนส์ซูมเลย เพราะ ถ่ายที่ไร ได้ภาพแย่ๆ มืด ๆ โดยตลอด. ซึ่งถ้าหากไปดูค่า T-Stop จะทราบว่าเลนส์ซูมนั้น กินแสงกว่าเลนส์เดี่ยวอยู่มาก ถ้าใช้ค่าที่ออกมาจากเครื่องวัดแสงไปตั้งที่กล้อง ภาพก็จะ มืดเกินไปเกือบๆ สตอป หรือ ถึงสตอป แน่ๆ (ยุคนั้น อินเตอร์เน็ตยังไม่มีใช้กัน การหาข้อมูลทำได้ยากมากครับ)

ส่วนเลนส์เดี่ยวส่วนมาก (โดยเฉพาะ เลนส์โปร) มักจะมีค่า T-Stop ใกล้เคียงกับค่า F-stop หรือกระทั่งมีค่า T เท่ากันกับค่า F ในหลายๆ ตัว (แต่ก็ยกเว้นบางตัวเช่นกัน) เป็นเหตุให้ ช่างภาพ ในสตูดิโอ ที่ใช้เครื่องวัดแสง มักนิยมใช้เลนส์เดี่ยวมากกว่าเลนส์ ซูม. เพราะ ไม่ต้องไป ตามชดเชยแสงอีกนั่นเอง.

หรือบางท่านในสายงานพอร์ตเทรต เคยเอาเลนส์ 85 f/1.4 zeiss ไปใช้แล้วบอกว่ามันสว่าง กว่า 85 f/1.2 canon.
ผมไปหาข้อมูลตามที่ท่านบอกมา พบว่าเป็นผลจากค่า T-stop นั่นเองครับ

-Zeiss 85 f/1.4 นั้นมี T-Stop ที่ f/1.5
-Canon 85 f/1.2 L นั้น มีค่า T-Stop ที่ f/1.6

ดังนั้น ถ้าใช้ที่ f/กว้างสุด เลนส์ Zeiss 85 f/1.4 จะสว่างกว่าเลนส์ Canon 85 f/1.2 L ทั้ง ๆ ที่ เลนส์ Canon นั้นมีขนาด รูรับแสงที่กว้างกว่า.

แต่ไม่ได้หมายความว่า เลนส์ Canon ด้อยกว่าแต่อย่างใดครับ..มันเกิดจาก แคนนอนใส่ชิ้นเลนส์เพิ่มคุณภาพของภาพไว้ในเลนส์หลายชิ้น จึงเสียแสงไปมากกว่า และ ถ้าท่านไม่ทราบข้อนี้..ท่านบอกว่า อยากได้เลนส์ ไวแสง เพื่อใช้ในที่แสงน้อย ๆ แล้วยังได้ความไวชัตเตอร์สูง ๆ ท่านจึงเลือกเลนส์ที่มี f/stop กว้างกว่า โดยที่ท่านไม่ทราบว่า ที่จริง แล้ว มันกลับ กินแสงมากกว่า. เลนส์ตัวที่มี f/stop แคบกว่า เมื่อท่านนำไปใช้งานจริง ๆ ก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ท่านตั้งใจไว้นะครับ.


ดังนั้น หากจะใช้อุปกรณ์ของเราให้ได้คุ้มค่าเงินที่สุด สิ่งที่ต้องทราบจริง ๆ ก็คือความสามารถ จริงๆ ของมันดังเช่น T-Stop นี่เองครับ

** T-Stop นั้น ตัว T ฝรั่งท่านย่อมาจากคำว่า Transmission นะครับ **
** และแน่นอน F-Stop นั้น ตัว F ย่อมมาจาก focal length ครับ

ภาพประกอบ จากเลนส์สองตัวที่ผมชอบมากที่สุด ก็คือ Leica M Noctilux 50 mm f/0.95 และ SLR Magic HyperPrime CINE 50mm T/0.95

เลนส์ SLR Magic ตัวนี้ออกแบบเป็น CINEMA Lens นั่นคือให้ค่ารูรับแสงมาเป็น T-Stop เลยนะครับ.. ใช้กับเครื่องวัดแสงภายนอกได้ทันที
ในตอนที่ผม ถ่ายภาพทั้งสองภาพ นั้นผมตั้งไว้ที่รูรับแสงกว้างที่สุด ทั้งสองเลนส์ Leica ใช้ที่ f/0.95 ส่วน SLR Magic ตั้งที่ T/0.95
ถ้าสังเกตุ ดี ๆ แม้แต่เลนส์ที่ความสว่างสูง ๆ และเป็นเลนส์เดี่ยว ๆ มิใช่เลนส์ ซูม. ค่า T-Stop และค่า F-Stop เองก็ยังมีความต่างกันอยู่เล็กน้อย
เพราะ ภาพที่ได้ SLR Magic จะมีระยะชัดที่บาง กว่า Leica เพราะ ค่า T/0.95 นั้นผมหาข้อมูลของเลนส์ดู พบว่า เลนส์ SLR magic ตัวนี้ f-stop กว้างกว่า Leica อยู่เล็กน้อยครับ

F-stop ของ SLR Magic HyperPrime CINE 50mm T0.95 ตัวนี้จะอยู่ที่ f/0.92 ครับ ระยะชัดจึงบางกว่า Leica ซึ่งมีรูรับแสง f/0.95

[reawat]

กระทู้เหมือน ยังไม่เสร็จดีนะครับ..ขาดๆ เกิน ๆ ยังไงไม่รู้..แต่ก็น่าจะอ่านรู้เรื่องแล้ว.. ปล่อยออกมาก่อน เดี๋ยวจะค่อย ๆ แงะ แซะ แกะ เกา อีกนิดหน่อย และจะค่อย ๆ ถ่ายรูปเลนส์มาลงเพิ่ม..
(แต่อาจไม่ค่อยมีใครอยากดูภาพเลนส์สักเท่าใด)

และขอขอบคุณ น้าหนุ่ม Num_r ที่ส่ง เลนส์ Sony 135 f/2.8 STF และเลนส์ SLR Magic HyperPrime CINE 50mm T0.95 ทั้งสองตัวนี้มาให้ผมทดสอบ.
...แต่ดูท่า จะมีตัวนึงไม่ได้กลับบ้าน โดยผมใช้ความหน้ามึน ปล้น SLR Magic ไว้เป็นของผม (จึงลงกระทู้ไว้เป็นหลักฐานของความหน้ามึน) ฮาาา

** ภาพหมู่ เลนส์ที่ใช้ในการเขียนกระทู้นี้ครับ **

[reawat]

แถมรูปอีกสองใบ จากเลนส์ Leica Noctilux M 50 mm f/0.95 ตัวโปรด(เดี๋ยวรูปประกอบน้อยเกินไป อาจโดนนางแบบแช่ง เพราะโพสต์ทั้งวัน ได้แค่เนี้ย)...

ส่วนตัวแล้ว ผมใช้เลนส์ 50 mm นี่แหละ เยอะที่สุด..เลยเก็บเลนส์ระยะนี้ไว้จำนวนมาก. ยิ่งเลนส์ f กว้าง ๆ ยิ่งถ่ายสนุก..เมื่อก่อน จะชอบเลนส์ระยะ เทเล เพราะ เบลอหลังได้มาก แต่เดี๋ยวนี้เมื่อ f กว้างพอ.. ระยะนี้กลับใช้ง่ายกว่า มาก..

ส่วนภาพจาก SLR Magic ผมหนักมือไปหน่อย ภาพแรงไปนิด ต้องกราบขออภัยที่ไม่ได้เอาลงให้ชมครับ T_T

[reawat]

จองที่ไว้ใส่ภาพ จาก SLR Magic สักภาพสองภาพ..
ลงสักภาพ ไว้ก่อน.. ตัวนี้ dept บางสุดแล้วเท่าที่ผมมีในมือ.. ( f/0.92)

[reawat]

เผื่อที่สำหรับ 135 f/2.8 Leica R อีกหน่อย

[reawat]

ภาพที่เคยถ่ายไว้จาก Sony 135 f/2.8 STF

[aumnaj]

ขอบคุณครับ ความรู้ใหม่เลยสำหรับผม ผมก็มีเลนส์อยู่ตัวนึงเหมือนกันที่ถ่ายออกมาแล้วจะมืดกว่าปกติมาก พึ่งมาถึงบางอ้อก็กระทู้นี้เอง

[wa san]

ขอบคุณกับข้อมูลดีๆครับ

[Marquis]

ขอถามหน่อยครับพอดีสงสัยข้อนี้มานานแล้ว ถ้าเรามีเลนส์2ตัวที่ค่า f-stop ที่เท่ากันเช่น1.4 ตัวแรกมีค่า t-stop ที่1.4เลยในขณะที่ตัวที่2มีค่าt-stopที่2.0

DOF จะเท่ากันหรือไม่ครับ

[reawat]

ถ้า F-Stop เท่ากัน DOF จะเท่ากันครับ..(แต่เนื่องจาก T-Stop ไม่เท่า.. มันจะกินแสงไม่เท่ากัน คือ ภาพ จะต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่างกัน)
ซึ่งมันเป็นเหตุให้ ผู้ผลิตใส่มาแค่ f-stop แล้วไหลตามน้ำ ไม่พูดถึง T-stop

ก่อนจะเขียน กระทู้นี้ผมมีเลนส์อีกสองตัว คือ Zeiss 35 mm f/1.4 และ Leica 35 mm f/1.4 FLE ซึ่งค่า T-Stop ไม่เท่ากัน
เพียงแต่ว่า มันไม่มีข้อมูลเลนส์ Leica เรื่อง T-Stop ผมจะต้อง วัดเอง แล้วเขียน.. จะทำให้เข้าใจยาก
ดังนั้น พอผมเจอ คู่ที่ มัน เห็นง่ายอย่าง 135 mm ทั้งสองตัวนี้..ผมจึงหยิบมาเขียนกระทู้นี้ครับ