
Originally Posted by
BOMB-MAN
1. เลนส์ช่วงเดียวกัน แต่ต่างที่ F2.8 ไม่มี IS กับ F4 IS ณ.สภาพแสงแย่ๆ เช่นในบ้าน และไม่ใช้แฟรช วัดแสงเฉลี่ยได้พอดีที่ S30 F2.8 แล้วใช้เลนส์ F4 ถ่ายให้ได้ค่าแสงเท่ากัน คือ S15 F4 (เปิด IS) อยากทราบว่า ภาพที่ได้จากเลนส์สองตัวนี้จะมีคุณภาพเท่ากันไหม ( สีสรรค์ความคมชัด ) และไม่คิดเรื่องความชัดลึกนะครับ ?
ถ้าถือด้วยมือเทียบกัน ก็ต้องดูก่อนว่าเลนส์เป็นเลนส์ช่วงไหน หากพูดกันที่ 24-70 กับ 24-105 ในกรณีนี้โอกาสได้ภาพจาก 24-105 f/4 IS L จะดีกว่าเพราะระบบISจะช่วยให้ถือได้นิ่งกว่า แต่หากวางบนขาตั้งกล้องแล้วเทียบกัน (ปิดISด้วยนะ ไม่งั้นไม่คม) แล้วมามองกันที่จุดกึ่งกลางภาพ เชื่อว่าระดับความคมชัดไม่ควรจะหนีขาดกันเท่าไหร่ แต่ที่ขอบภาพนี่คงจะบอกยากสักหน่อย แต่โดยเฉลี่ยแล้ว เลนส์ที่มีขนาดเล็กกว่า ชิ้นเลนส์เล็กกว่าจะออกแบบได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตามไม่สามารถสรุปชี้ชัดได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขอีกหลายอย่างมาให้เปรียบเทียบกันอีก เช่น ชนิดของชิ้นเลนส์ที่เลือกเอามาทำเลนส์ เลนส์บางคู่นั้นหากเอามาถ่ายเปรียบเทียบกันกลางแจ้งอาจจะไม่เห็นผลแตกต่าง แต่ในที่แสงแย่ๆจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามคงจะต้องดูเป็นตัวๆไปครับ

Originally Posted by
BOMB-MAN
2. เลนส์ที่มี IS ที่ช่วยให้ใช้มือถือได้ใน speed ต่ำกว่า 1/ทางยาวโฟกัส 3 stop มันจะเป็นความหมายเดียวกับว่า เลนส์ตัวนั้น สว่างกว่าเดิม 3 stop หรือเปล่าครับ ?
ไม่ใช่ครับ มันแค่ช่วยให้มือถือได้นิ่งขึ้นเท่านั้น ความสว่างของเลนส์จะยังคงเท่าเดิม เช่น เลนส์ความยาวโฟกัส 125 mm IS on ตามทฤษฎีจะสามารถถือกล้องด้วยมือได้ที่ความเร็วชัตเตอร์ 1/15 วินาที แต่ความเร็วชัตเตอร์ก็ยังต่ำเกินไปสำหรับที่จะหยุดวัตถุให้หยุดนิ่งจากการเคลื่อนไหวได้ครับ มันเพียงช่วยให้ถือได้ด้วยมือได้สะดวกขึ้นเท่านั้น ค่าExposureยังคงเป็นไปตามค่าความไวแสงของฟิล์ม หรือ Image sensorที่ตั้งไว้

Originally Posted by
BOMB-MAN
3. ขีดแดงๆ ที่อยู่ที่ช่องสเกลของเลนส์มันคืออะไรเหรอครับ เช่นเลนส์ 70-200 F2.8 L จะมีขีดแดงเขียนว่า 100 กับ 70 เห็นบางท่านว่าเป็นตัวบอกระยะชัดลึก แต่ผมดันเข้าใจว่าเป็น mark infared ตกลงมันคืออะไรครับ ?
ผมพยายามนึกอยู่ เท่าที่ยังพอจำได้ ผมว่าคุณเข้าใจถูกแล้วหละครับ ถ้าเป็นตัวบอกความชัดลึกจะต้องกำกับไว้ว่าที่ f/stopsเท่าไหร่ด้วย ดูๆแล้วน่าจะเป็นmark infraredซะมากกว่า ( ผมอาจจะจำผิดก็ได้นะ พอดีไม่มีเลนส์อยู่ในมือนานแล้ว แต่โดยปกติแล้วเลนส์ของCanonไม่ได้ใส่สเกลบอกค่า DOFมาให้นานแล้ว )

Originally Posted by
BOMB-MAN
4. สมมุติว่าผมถ่ายภาพในโหมด M แล้วผมตั้ง speed ไว้ที่ 20 วินาที แล้วกดชัตเตอร์ แต่ถ้าในระหว่าง 20 วินั้น ผมต้องการยกเลิกกลางคัน ผมจะต้องทำยังงัยครับ ทำไม่ถูกสักที ถ้าไม่ใช้สายลั่นชัตเตอร์
ง่ายมากครับ ปิดกล้องเป็นคำตอบสุดท้าย ลำบากกว่านั้นอีกหน่อยก็คือเปลี่ยนMode โดยการหมุนdial control (ถ้ากล้องคุณมีให้หมุน , ไม่ได้บอกนิว่าใช้รุ่นไหน อาจจะใช้พวกseries 1 ก็ได้นิ )

Originally Posted by
BOMB-MAN
5. มีเว็บหรือกระทู้ไหน สอนวีธีใช้ สายลั่น CANON TC-80N3 บ้างครับ ยังใช้ได้ไม่ครบฟังก์ชั่นมันเลยนะครับ และมีวิธีหรือใช้ ตัวแปลงแบบไหน ที่จะให้ใช้ได้กับ EOS 30V บ้างไหมครับ
ลองเข้าไปsearchหาในgoogleดูสิครับ น่าจะมีนะ ส่วนตัวแปลงนี่อาจจะลำบากครับ (อาจจะต้องทำเอง) อีกประการหนึ่ง EOS30Vใช้RS-60E3 ซึ่งทำเองได้ง่ายกว่าด้วยสิ ลองหาดูในกระทู้เก่าเกี่ยวกับ 300Dดูนะครับ เคยมีเพื่อนๆลงไว้ถึงวิธีทำ

Originally Posted by
BOMB-MAN
6. มีแฟรช 580ex กับ 550ex จะสามารถจัดไฟแบบ ratio A:B 1:4 โดยที่ไม่ต้องใช้ ตัวทริกแฟรช ST-E2 ได้ไหม ?
ได้ครับ แต่ต้องหา580หรือ550EXมาเพิ่มอีก1ตัว 55555555 ผมไม่เคยลองดูเหมือนกันนะในสมัยที่ใช้อยู่ บางทีคุณอาจจะลองเองได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ตัวใดตัวหนึ่งเป็น master อีกตัวหนึ่งเป็น slave แล้วเลือกให้มันเป็นAหรือเป็นBดูก่อน แล้วปรับratioที่ตัวmaster โดยสั่งให้ตัวmasterยิงแสงออกมาด้วย บางทีคุณอาจจะได้คำตอบก็ได้เช่นกันนะครับ เพราะหากให้ตัวslaveเป็น A หรือ B แล้วแต่คุณชอบ เวลาปรับratioมันก็จะเปลี่ยนความแรงของแสงแฟลชของslaveตามคำสั่งของmaster ส่วนค่าแสงแฟลชรวมๆจะถูกประมวลด้วยกล้องอีกทีหนึ่ง แล้วสั่งการเป็นfinalอีกคั้ง

Originally Posted by
BOMB-MAN
7. ถ้าต่อแฟรชแบบไร้สาย สัก 4 ตัว (580ex 2ตัว 550ex 2ตัว)แฟรชตัวสุดท้ายที่ออกไปจะยังคงเป็น ETTL-II อยู่หรือเปล่าครับ หรือว่าจะเป็นแมนนวลแฟรช ?
E-TTL II เป็นเรื่องของกล้อง ไม่ใช่เรืองของแฟลชครับ มันอยู่ที่คุณจะเลือกให้slaveตัวไหนอยู่ในgroupอะไรมากกว่านะ หรือมันขึ้นกับว่าคุณสั่งที่ตัวmasterให้มันคุมยังไง ถ้าหากใช้ST-E2 ก็จะคุมได้แค่ 2 กลุ่ม คุณก็ต้องเลือกเอาแหละว่าจะให้ลูกๆทั้ง4ตัวนี้อยู่ในกลุ่มไหนบ้าง แต่ลูกๆทั้ง4ตัวนี้มันจะเป็นE-TTL( หรือ E-TTL II ขึ้นกับกล้องที่ใช้ แต่จะไม่นำข้อมูลระยะทางมาร่วม ) สัมพันธ์กับกล้องอยู่ดีแหละ หากคุณใช้1ใน4ตัวนี้เป็นmaster ก็แล้วแต่ว่าคุณสั่งตัวmasterให้เป็นmodeอะไร ทางที่ดีแนะนำให้อ่านคู่มือการใช้โดยละเอียดก่อนใช้งานดีกว่าครับ จะได้สนุกสนานกับมันมากขึ้น

Originally Posted by
BOMB-MAN
8. ถ้าใช้สายแยกแฟรชออกจากตัวกล้อง (off camera shoe cord 2) กล้องจะรับรู้ไหมว่าเราแยกแฟรชออกไป และการคำนวณแสงแฟรชแบบที่ใช้ระยะทางเป็นตัวคำนวณด้วยจะยังถูกต้องหรือเปล่าครับ ? (ใช้เลนส์ canon ทั้งหมด คงไม่มีปัญหาการสื่อสารกันระหว่างเลนส์กับกล้องนะครับ)
ไม่ได้ครับ กล้องไม่ฉลาดระดับนั้น แต่มีวิธีการหลอกกล้องได้เช่น ปรับมุมหัวแฟลชให้กระดกขึ้น หรือ เอียงซ้ายหรือขวา เพียงแค่นั้นข้อมูลระยะทางก็จะไม่ถูกนำมาคิด หรือ ปรับcustom function E-TTL II ไว้ที่ 1. Average แล้วปรับmodeของmeterวัดแสงในกล้องไว้ที่ central averageร่วมด้วย เพียงเท่านี้กล้องก็จะไม่นำข้อมูลระยะทางมาใช้แล้วครับ

Originally Posted by
BOMB-MAN
9. CMOS ของ DSLR มันทนกว่า CCD ของกล้อง compact เยอะไหมครับ คือถ้าจะถ่าย Long Exposure สัก 1 ชั่วโมงนี่ มันจะมีปัญหาอะไรไหมครับ ถ้าไม่นับรวม น้อยซ์ มากมายมหาศาล เพราะเห็น CCD ของกล้อง compact มันต้อง เปิดใช้ตลอดเวลา มันยังใช้งานได้นานเป็นปีๆ เลยนะครับ
มีปัญหาครับ เพราะมันจะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงมากทีเดียว ต้องไม่ลืมว่า CCDหรือCMOSของกล้องdSLRถูกออกแบบมาให้ทำงานในช่วงสั้นๆ ดังนั้นระบบระบายความร้อน(เช่น Heat Sink) อาจจะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานสำหรับงานหนักระดับนี้ ( จริงอยู่มันมีขนาดใหญ่กว่าพวก compact ความร้อนสะสมอาจจะไม่สูงนัก แต่แหะ แหะ เล่นกัน3600วินาทีแบบnon stopนี่ ก็ออกจะโหดร้ายไปนะ) จะใช้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็เหมือนขาดทุนสะสมหนะนะ อายุการใช้งานมันก็ควรจะสั้นลงตามความร้อนที่มันต้องแบกรับไว้มากเกินความจำเป็น
image sensorที่เขาออกแบบมาใช้กับกรณีนี้เช่น CCDที่ทำมาใช้สำหรับถ่ายภาพดาว เขาจะติดตั้งระบบระบายความร้อน เช่น Heat sink แผ่นใหญ่ๆเอาไว้เลย บางตัวอาจจะใช้Water coolด้วยซ้ำไปครับผม

Originally Posted by
BOMB-MAN
10. สุดท้ายแล้วนะครับ ไฟล์ 8.2 ล้าน จาก 30D+เลนส์ L ขยาย 50 นิ้ว โดยผ่านโปรแกรมจำพวก RIP หรือ PhotoZoom กับไฟล์ 16 ล้าน จาก 1Ds Mark 2 + เลนส์ L แต่ไม่ผ่านโปรแกรม out put ที่ได้อันไหนจะสวยกว่าครับ (ภาพแตกน้อยกว่า คมกว่า)
อันนี้บอกยากเหมือนกัน เพราะวิทยาการในด้านการพิมพ์มันไปไกลมากทีเดียว บางทีตัวเครื่องพิมพ์มันก็ช่วยได้แล้วส่วนหนึ่ง หากตัดปัจจัยเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์ คือว่ากันแบบเนื้อๆเลย การที่เราเอาfile 8.2ล้านมาเบ่งให้กลายเป็นfileหลายๆล้าน แล้วเอาไปพิมพ์โดยผ่านกระบวนการหลายอย่าง เทียบกับfile16ล้านที่ไม่ทำอะไรเลย ยังไงเสียมันก็ต้องให้ภาพที่ดีกว่า ( คุณอนุชัย เจ้าพ่อretouchแห่งเมืองไทยเรา แกเล่าว่าแกเคยใช้jpgจากโทรศัพท์มือถือ1.3MP ไปทำการปรับแต่ง เกลา จนเอาไปพิมพ์เป็นภาพขนาด2เมตรได้โดยไม่มีใครรู้ว่าแหล่งกำเนิดมาจากไหน ) แล้วหากว่าเอาfile 16ล้านมาพิมพ์แบบไม่เกลาเลย ยังไงมันก็คงเป็นรองอยู่นะครับ ( ว่าแต่จริงๆแล้วจะไม่มีใครเอาไปเกลา หรือปรับแต่งกันเชียวหรือ )
Last edited by หนก บางหลวง; 20th June 2006 at 15:15.
ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
Bookmarks